การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังคุกคามระบบที่สำคัญในภูมิภาคซึ่งกำลังเข้าใกล้สภาวะวิกฤตแล้ว และอาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้รายงานเปิดเผยว่าตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ธารน้ำแข็งในเทือกเขาแอนดีสเขตร้อนได้สูญเสียพื้นที่ไปแล้ว 30 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้น โดยมีแนวโน้มความสมดุลของมวลติดลบในช่วงปี 1990-2020ในเปรู บางแห่งสูญเสียพื้นที่ไปกว่าร้อยละ 50การถอยร่นของธารน้ำแข็งและการสูญเสียมวลน้ำแข็งที่สอดคล้องกัน
จะเพิ่มความเสี่ยงของการขาดแคลนน้ำสำหรับผู้คนในเทือกเขาแอนดีสและระบบนิเวศ
สำหรับเมืองในแถบแอนเดียนหลายแห่งธารน้ำแข็งที่ละลายแสดงถึงการสูญเสียแหล่งน้ำจืดที่สำคัญซึ่งปัจจุบันใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค การชลประทาน และไฟฟ้าพลังน้ำ” หัวหน้า WMO กล่าวการตัดไม้ทำลายป่าและฝนตกชุกตามรายงาน การตัดไม้ทำลายป่าในป่าฝนอเมซอนของบราซิลเพิ่มขึ้นสองเท่า
จากค่าเฉลี่ยในปี 2552-2561 และแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2552พื้นที่ป่าหายไปประมาณ 22 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับพื้นที่ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลกระทบอย่างมากต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ“ในอเมริกาใต้ ความเสื่อมโทรมอย่างต่อเนื่องของป่าฝนอเมซอนยังคงถูกเน้นย้ำว่าเป็นข้อกังวลหลักสำหรับภูมิภาคนี้ แต่ยังรวมถึงสภาพอากาศโลกด้วย เมื่อพิจารณาถึงบทบาทของป่าในวัฏจักรคาร์บอน” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ WMO กล่าว
ในขณะเดียวกันปริมาณน้ำฝนที่มากเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้วทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่ม
ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน บ้านเรือนหลายหมื่นหลังถูกทำลายหรือได้รับความเสียหาย และผู้คนหลายแสนคนต้องพลัดถิ่นน้ำท่วมและดินถล่มในรัฐบาเอียและมินาสเชไรส์ของบราซิลเพียงอย่างเดียวทำให้สูญเสียเงินประมาณ 3.1 พันล้านดอลลาร์
ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นระดับน้ำทะเลในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าที่อื่นๆในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของอเมริกาใต้ทางตอนใต้ของเส้นศูนย์สูตร และแอตแลนติกเหนือกึ่งเขตร้อนแลอ่าวเม็กซิโกน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นทำให้ชั้นหินอุ้มน้ำปนเปื้อน กัดเซาะชายฝั่ง น้ำท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ และเพิ่มความเสี่ยงที่คลื่นพายุซัดฝั่ง คุกคามประชากรบริเวณชายฝั่ง
“การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและภาวะโลกร้อนในมหาสมุทรคาดว่าจะยังคงส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชายฝั่ง การท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร พลังงาน และความมั่นคงทางน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เกาะขนาดเล็กและประเทศในอเมริกากลาง” นายทาลาสกล่าวเตือนนอกจากนี้ ความแห้งแล้งหลายปีในลุ่มน้ำปารานา-ลาปลาตา ซึ่งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2487 กำลังส่งผลกระทบต่อภาคกลาง-ภาคใต้ของบราซิล และบางส่วนของปารากวัยและโบลิเวีย